
การจะไปเที่ยวต่างประเทศในแต่ละครั้ง มีสิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมตัวยิบย่อยไปหมด ไม่ว่าเลือกประเทศที่จะไป ทำวีซ่า จองตั๋วเครื่องบิน เลือกที่พัก วางแผนในการเดินทาง เสื้อผ้าที่จะใส่ ไม่ว่าสิ่งไหนก็สำคัญ แต่มีสิ่งหนึ่งที่มือใหม่หัดโกอินเตอร์มักงง ๆ งวย ๆ คือเรื่องของ การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ในแบบต่าง ๆ นั่นเอง
สำหรับคำถามที่ว่า แลกเงินสด ใช้บัตร ATM ใช้บัตรเครดิต แบบไหนดีกว่า?, แลกเงินที่ไหนดี?, วิธีเตรียมตัวแลกเงิน, เที่ยวต่างประเทศ แลกเงินอะไร? ไม่ว่าแบบไหนก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนั้นวันนี้เพจ Wongnai Travel จะขอเคลียร์คำถามคาใจ ให้พวกเธอได้ไปเที่ยวกันอย่างสบายใจนะเออ
ทำความเข้าใจเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน รู้ไว้ใช่ว่า

แต่ละประเทศต่างมีสกุลเงินเป็นของตัวเอง ไทยใช้เงินสกุลบาท ญี่ปุ่นใช้เงินสกุลเยน หากเราจะซื้อสินค้าในต่างประเทศ จำเป็นที่จะต้องนำเงินบาทไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินสกุลของประเทศนั้น ๆ เสียก่อน ด้วยเพราะค่าเงินของแต่ละที่ไม่เท่ากันจึงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน
ทำความเข้าใจง่าย ๆ สมมติเงิน 30 บาทแลกเงินดอลลาร์ได้ 1 ดอลลาร์ แต่หากเงินดอลลาร์มีความต้องการในตลาดโลกมากขึ้น หรือที่เรียกว่า “ค่าเงินแข็งตัว” ทำให้เราจะต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเงินดอลลาร์ แต่ในทางตรงข้าม หากเงิน 1 ดอลลาร์เราใช้เงินไทยเพียง 27 บาทในการแลกเปลี่ยน นั่นหมายความว่าเงินดอลลาร์ “ค่าเงินอ่อนตัว” นั่นเอง
* อัตราแลกเปลี่ยนจะมีการขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดเวลา ตามความต้องการของเงินตราสกุลนั้น
เลือก แลกเงินสด, บัตร ATM, บัตรเครดิตดี ?
1. แลกเงินสด

เหมาะสำหรับ : คนที่ต้องการความสะดวกในการใช้จ่าย สามารถใช้ได้ทุกที่ และได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด
ข้อดี
1. ได้อัตราแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า สามารถเลือกเรตที่ต้องการได้
2. ใช้จ่ายได้ทุกร้านได้ทันที ไม่ต้องกังวลว่าจะเจอร้านที่ไม่รับบัตรเครดิต
3. ไม่โดนชาร์จค่าบริการเพิ่ม ต่างจากบัตรเครดิต
ข้อเสีย
1. พกเงินจำนวนมากมักทำให้เป็นจุดสนใจต่อมิจฉาชีพ
2. หลาย ๆ ประเทศค่าเงินมีขนาดใหญ่ ทำให้เวลาพกไม่สะดวก และมีน้ำหนักมาก
2. บัตร ATM

เหมาะสำหรับ : คนที่ยังต้องการความคล่องตัวในการใช้จ่าย แต่ไม่ต้องการพกเงินสดทีละมาก ๆ
ข้อดี
1. พกพาสะดวก สามารถกดเงินเท่าที่ต้องการใช้ได้ทันที
2. ใช้จ่ายได้คล้ายเงินสดในบางร้านที่รับบัตรเดบิต
3. สามารถคำนวณการใช้จ่ายได้ง่ายกว่าบัตรเครดิต เพราะตัดเงินออกจากบัญชีทันที
ข้อเสีย
1. ต้องใช้ผ่านตู้ ATM ที่มีโลโก้ Visa หรือ Plus เท่านั้น
2. มีค่าความเสี่ยงในการแปลงสกุลเงินต่างประเทศเป็นเงินไทย 2-2.5%
3. หากมีการยกเลิกการชำระจะขึ้นอยู่กับทางร้านว่าจะได้ยอดเงินคืนเมื่อไร
4. มีค่าธรรมเนียมสูง
3. บัตรเครดิต

เหมาะสำหรับ : คนที่ต้องการใช้ซื้อสินค้า หรือบริการที่มีราคาแพง เช่น ตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม เช่ารถยนต์
ข้อดี
มีความปลอดภัยในการใช้จ่าย
สามารถยกเลิกค่าใช้จ่ายได้ทันที ยอดคืนภายใน 10-30 วัน
สามารถแบ่งจ่ายได้ตามข้อกำหนดของบัตรเครดิต
มีประกันการเดินทางให้
ข้อเสีย
1. บางร้านเลือกรับบัตร Visa, Mastercard, JCB แตกต่างกัน ต้องพกบัตรหลายใบ
2. มีค่า VAT ชาร์จค่อนข้างแพง
3. มีค่าความเสี่ยงในการแปลงสกุลเงินต่างประเทศเป็นเงินไทย
4. หากไม่สามารถใช้จ่ายคืนได้เต็มจำนวน มีโอกาสเกิดภาระหนี้สินจำนวนมาก จากการแปลงค่าเงิน
* วิธีใช้เงินในต่างประเทศมีอยู่ 3 วิธี โดยไม่ได้จำกัดว่าต้องใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น แต่สามารถเลือกตามความเหมาะสมในการใช้จ่ายของแต่ละคน
ขั้นตอนแลกเงิน และ Tips แลกเงิน

ขั้นตอนแลกเงิน
1. เช็กอัตราแลกเปลี่ยนจากร้านที่ต้องการ โดยหากเลือกแลกเป็นแบงค์ย่อยจะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า แต่หากต้องการคละ ๆ หลายขนาดให้แจ้งเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าก่อน
2. เมื่อไปถึงหน้าร้านให้ทำการยื่นพาสปอร์ต หรือบัตรประชาชนแก่เจ้าหน้าที่เพื่อทำการถ่ายสำเนา (แนะนำให้พกไปทั้งสอง)
3. เข้าคิวยื่นสำเนาพาสปอร์ตพร้อมเงินที่จะแลก และรับบัตรคิว
4. เมื่อถึงคิวพนักงานเรียก ให้ไปรับเงิน โดยก่อนออกจากร้านอย่าลืมตรวจสอบยอดเงินให้ครบถ้วน
Tips แลกเงิน
1. เปรียบเทียบอัตราแลกเปลี่ยนจากหลาย ๆ เจ้า เพื่อหาร้านที่ให้ราคาที่ดีที่สุด ปัจจุบันมีร้านที่รับแลกเงินตราต่างประเทศมากมายหลายเจ้า แต่ละที่ก็มีอัตราแตกต่างกันไป สามารถเช็กได้ผ่านทาง Website Official เจ้านั้น ๆ
2. แลกเงินเก็บไว้เวลาค่าเงินอ่อนตัว หากเราวางแผนจะไปเที่ยวล่วงหน้านาน ๆ แล้วบังเอิญมีช่วงที่ค่าเงินอ่อนตัวให้ลองแลกเงินเก็บไว้ส่วนหนึ่งจะทำให้ได้อัตราแลกเปลี่ยนที่มากกว่าปกติ ซึ่งเมื่อกลับมาจากไปท่องเที่ยวก็ลองเก็บเงินจนกว่าค่าเงินจะแข็งตัว เมื่อนำไปแลกคืนก็จะได้กำไรกลับมา โดยแนะนำให้คอยตามเพจร้านแลกเงินเป็นประจำ จะได้รู้ก่อนใครเวลาที่ค่าเงินอ่อนตัว
รวมจุดแลกเงินในกรุงเทพฯ
